ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติการนวดแผนโบราณ

    การนวดไทยเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะที่มีมาแต่โบราณ เกิดจากสัญชาตญาณเบื้องต้นของการอยู่รอด เมื่อมีอาการปวดเมื่อยหรือเจ็บป่วยตนเองหรือผู้ที่อยู่ใกล้เคียงมักจะลูบไล้บีบนวดบริเวณดังกล่าว ทำให้อาการปวดเมื่อยลดลง เริ่มแรกๆ ก็เป็นไปโดยมิได้ตั้งใจ ต่อมาเริ่มสังเกตเห็นผลของการบีบนวดในบางจุด หรือบางวิธีที่ได้ผลจึงเก็บไว้เป็นประสบการณ์ และกลายเป็นความรู้ที่สืบทอดกันต่อๆ มา จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ความรู้ที่ได้จึงสะสมจากลักษณะง่ายๆ ไปสู่ความสลับซับซ้อน จนสามารถสร้างเป็นทฤษฎีการนวด จึงกลายมาเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีบทบาทบำบัดรักษาอาการและโรคบางอย่าง[1]
การนวดไทย หรือ นวดแผนโบราณ เป็นการนวดชนิดหนึ่งในแบบไทย ซึ่งเป็นศาสตร์บำบัดและรักษาโรคแขนงหนึ่งของการแพทย์แผนไทย โดยจะเน้นในลักษณะการกด การคลึง การบีบ การดัด การดึง และการอบ ประคบ ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ "นวดแผนโบราณ" โดยมีหลักฐานว่านวดแผนไทยนั้นมีประวัติมาจากประเทศอินเดีย โดยเชื่อว่าน่าจะมีการนำการนวดเข้ามาพร้อมกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และมีการนำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน [2] จากนั้นได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากันกับวัฒนธรรมของสังคมไทย จนเป็นรูปแบบแผนที่เป็นมาตรฐานของไทยและส่งทอดมาจนถึงปัจจุบัน การนวดไทยแบ่งเป็น 2 สาย คือ สายราชสำนักและสายเชลยศักดิ์
  • การนวดแบบราชสำนัก เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของการนวดนี้คือ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ที่อยู่ในรั้วในวัง ฉะนั้นการนวดจึงถูกออกแบบที่เน้นการใช้นิ้วมือและมือเท่านั้น และท่วงท่าที่ใช้ในการนวดมีความสุภาพเรียบร้อย มีข้อกำหนดในการเรียนมากมาย ผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิชาชีพด้านนี้ จะได้ทำงานอยู่ในรั้วในวังเป็นหมอหลวง มีเงินเดือนมียศมีตำแหน่ง[3][4]
  • การนวดแบบเชลยศักดิ์ เป็นการนวดที่ใช้ในระดับชาวบ้านด้วยท่าทางทั่วไป ไม่มีแบบแผนหรือพิธีรีตองในการนวดมากนัก อีกทั้งยังสามารถใช้อวัยวะอื่นๆ เช่น เข่า ศอก เท้า เพื่อช่วยทุ่นแรงในการนวดได้ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากการนวดแบบราชสำนักที่เน้นการใช้มือเพียงอย่างเดียว[3]

ประวัติการนวดแผนโบราณ[แก้]

แผนผังการกดจุดต่างๆ ในร่างกาย ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการนวดไทยที่เก่าแก่ที่สุด คือ ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยที่ขุดพบในป่ามะม่วง ซึ่งตรงกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งได้จารึกรูปการรักษาโรคด้วยการนวดไว้[3]
ต่อมาในสมัยอยุธยามีหลักฐานที่ปรากฏอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการนวดไทยในปี พ.ศ. 1998 ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งหน้าที่ของแพทย์ตามความชำนาญเฉพาะทาง โดยแยกเป็นกรมต่างๆ เช่น กรมแพทยา กรมหมอยา กรมหมอกุมาร กรมหมอนวด กรมหมอตา กรมหมอวัณโรค โรงพระโอสถ นอกจากนี้ยังได้มีการกำหนดศักดินาและดำรงยศตำแหน่งเป็น หลวง ขุนหมื่น พัน และครอบครองที่นาตามยศและศักดินาที่ดำรง ซึ่งปรากฏอยู่ในกฎหมาย "นาพลเรือน" ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นยุคที่การนวดไทยรุ่งเรืองมาก โดยปรากฏในจดหมายเหตุของราชทูตจากประเทศฝรั่งเศสชื่อ ลา ลู แบร์ ในปีพ.ศ. 2230 ว่า[3][5]
ในกรุงสยามนั้น ถ้าใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มทำเส้นสายยืด โดยให้ผู้ชำนาญทางนี้ขึ้นไปบนร่างกายของคนไข้ แล้วใช้เท้าเหยียบ กล่าวกันว่าหญิงมีครรภ์มักใช้ให้เด็กเหยียบเพื่อให้คลอดบุตรง่ายไม่พักเจ็บปวดมาก
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ราว พ.ศ. 2375 ทรงให้วัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในปัจจุบัน) เป็นมหาวิทยาลัยของปวงชน ทรงให้เลือกสรรและปรับปรุง ตำรายาสมุนไพรรอบพระอาราม และทรงโปรดให้ปั้นรูปฤๅษีดัดตนซึ่งเป็นรูปหล่อด้วยสังกะสีผสมดีบุกเพิ่มเติม จนครบ 80 ท่า พร้อมโปรดให้เขียนโคลงอธิบายท่าเหล่านั้น แก้โรคนั้น จนครบ ๘๐ ท่า และจารึกสรรพวิชาการนวดไทยลงบนแผ่นหินอ่อน 60 ภาพ แสดงถึงจุดนวดอย่างละเอียดประดับบนผนังศาลาราย และบนเสาภายในวัดโพธิ์ ถือได้ว่าเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการนวดไทยไว้อย่างเป็นระบบ
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ราว พ.ศ. 2449 ทรงให้กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย กรมหมื่นอักษรสาสน์โสภณและหลวงสารประเสริฐ ได้ชำระตำราการนวดแผนไทย และเรียกตำราฉบับนี้ว่า “ตำราแผนนวดฉบับหลวง” ตำรานวดนี้ใช้เรียนในหมู่แพทย์หลวง หรือแพทย์ในพระราชสำนัก และในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ผู้ที่มีชื่อเสียงมากในการนวดในขณะนั้นคือ หมออินเทวดา ซึ่งเป็นหมอนวดในราชสำนัก ได้ถ่ายทอดวิชานวดทั้งหมดให้แก่บุตรชายคือ หมอชิต เดชพันธ์ ซึ่งต่อมาได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ ความรู้เกี่ยวกับการนวดแผนโบราณนั้นเริ่มแพร่หลายและเปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไปเมื่อประมาณ 30 ปีมานี้ [6]

อ้างอิง[แก้]

  1. กระโดดขึ้น ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไปของกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข
  2. กระโดดขึ้น ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไปของกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข
  3. กระโดดขึ้นไป: 3.0 3.1 3.2 3.3 ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย, คู่มืออบรม การนวดไทยแบบเชลยศักดิ์, มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา,พิมพ์ที่ บริษัท สามเจริญพาณิชย์(กรุงเทพ) จำกัด, พิมพ์ครั้งที่ 2 มิถุนายน 2548, หน้า 4,14 ISBN 974-93017-0-6 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "test" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "test" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "test" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  4. กระโดดขึ้น มานพ ประภาษานนท์, นวดไทย สัมผัสบำบัดเพื่อสุขภาพ, สำนักพิมพ์มติชน, พิมพ์ครั้งที่ 4 มีนาคม 2549, หน้า 22, ISBN 974-323-642-2
  5. กระโดดขึ้น Jan Chaithavuthi & Kanchanoo Muangsiri, Thai Massage the Thai Way: Healing Body and Mind, พิมพ์ที่ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2550, หน้า 30 ISBN 978-974-88159-2-3
  6. กระโดดขึ้น ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไปของกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์

TH | EN หน้าหลัก รู้จักวัดโพธิ์ เกร็ดประวัติวัดโพธิ์ ตำนานพระพุทธรูปสำคัญ จารึกวัดโพธิ์ การบริหารงานวัดโพธิ์ อดีตเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน คณะสังฆาธิการ สถานศึกษาในวัดโพธิ์ ข่าวและกิจกรรม สถาปัตย์และสิ่งสำคัญ แพทย์แผนไทย โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์ การบริหารท่าฤาษีดัดตน อัลบั้มภาพ เว็บบอร์ด ข้อมูลนักท่องเที่ยว วางแผนการเยี่ยมชม การเดินทางมาวัดโพธิ์ ติดต่อ แพทย์แผนไทย > โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์ โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์ โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ และการนวดแผนโบราณ การแพทย์แผนโบราณนั้นอาจกล่าวได้ว่ามีบุคคลผู้รอบรู้ประจำอยู่ทุกชมชน ที่รู้จักการเอาพืชสมุนไพรมาผสมผสานกับของผสมบางอย่างรวมกันแล้วเป็นยาบรรเทาอาการเจ็บป่วย ยาแก้โรคระบาดให้หายขาดได้ ในสังคมไทยสมัยโบราณมีแพทย์ ๒ ประเภท คือแพทย์ประจำราชสำนักหรือแพทย์หลวง กับแพทย์พื้นบ้านที่รักษาชาวบ้าน (หมอชาวบ้านหรือหมอชุมชน) สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาบำเรอราชแพทย์ ซึ่งเป...

แฟรนไชส์ รปภ

สร้างธุรกิจมั่นคงกับ    แฟรนไชส์ รปภ การลงทุนธุรกิจเฟรนไชส์ 1. ค่าแฟรนไชส์ 1,000,000 บาทสัญญา 5 ปี 2. ค่ารอยัลตี้ฟี 10% ก่อนหักค่าใช้จ่าย แบ่งออกเป็น ค่าการตลาด 5% และค่าบริหารจัดการ 5 % 3. ค่าตกแต่งสถานที่ 100,000 - 200,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดและสภาพของพื้นที่) 4. ค่าอุปกรณ์, คอมพิวเตอร์ และสินค้าที่ใช้โชว์ในร้าน (กล้องวงจรปิด, GUARD TOUR, ถังดับเพลิง, วิทยุสื่อสาร, อุปกรณ์กันขโมย, อุปกรณ์บันทึกภาพ) 300,000 บาท ระยะเวลาคืนทุน ภายใน 24 เดือน เงื่อนไขการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ เงื่อนไขการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ ลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท (สัญญา 5 ปี) คืนทุนภายใน 24 เดือน จ่ายผลตอบแทน 4% ต่อเดือน ลงทุน  ปันผลจ่ายคืนทุก 3 เดือน 1,000,000 120,000 2,000,000 240,000 3,000,000 360,000 4,000,000 480,000 5,000,000 600,000 สิ่งที่ได้รับ 1. การอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ 2. ปรึกษาด้านทำเล ตกแต่งร้าน รูปแบบผลิตภัณฑ์ ก่อนเริ่มธุรกิจ 3. การตรวจเยี่ยม การสนับสนุนการโฆษณา 4. การทำแผนการตลาดในเขตพื้นที่ของผู้ซื้อแฟรนไชส์ หรือ เป็นตัวแทนจำหน...

บริษัท พีซีไอ อินเตอร์ จำกัด(มหาชน)

บริษัท พีซีไอ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน ) - หางาน www.jobthaiweb.com/companydetail.php?USERID=porn1111 ลักษณะประเภทของธุรกิจ : บริการรักษาความปลอดภัย และจำหน่ายกล้องวงจรปปิด ประตู อัตโนมัติ คีย์การ์ด อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย. ที่ตั้ง : 199/595 ถ.บางพลีตำหรุ ต. คุณไปที่หน้าเว็บนี้เมื่อ 12/7/2014 PCI Inter Public Company Limited บริษัท พีซีไอ อินเตอร์ จำกัด ... www.franchisefocus.co.th/index.php/.../118-cecuelity-franchise.html PCI Inter Public Company Limited บริษัท พีซีไอ อินเตอร์ จำกัด(มหาชน ) ศูนย์บริการ รักษาความปลอดภัยครบวงจร กิจการที่มีความต้องการในตลาดสูง ทำให้หาลูกค้าได้ง่าย ... คุณไปที่หน้าเว็บนี้เมื่อ 12/7/2014 M2Fjob - บริษัท พีซีไอ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน )... | Facebook https://www.facebook.com/M2FJob/posts/685924878109044 บริษัท พีซีไอ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน ) บริการรักษาความปลอดภัย และจำหน่ายกล้องวงจรป ปิด ประตูอัตโนมัติ คีย์การ์ด อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย... คุณไปที่หน้าเว็บนี้เมื่อ 10/7/2014 บริษัท พีซีไอ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน ) ...